การจัดการข้อมูล

 การจัดการข้อมูล

            การจัดการข้อมูล  คือการที่ทำให้ข้อมูลอยู่ในรูปที่กะทัดรัด  มีความหมายและสะดวกต่อการใช้งาน  การค้นหา  สามารถนำเสนอในรูปแบบที่ง่ายต่อการตัดสินใจ  ซึ่งประกอบด้วยวิธีต่างๆ  ดังนี้
         การป้อนสูตรในการคำนวณ
  โปรแกรม  Microsoft Excel   สร้างขึ้นมาเพื่องานคำนวณโดยเฉพาะ ผู้เรียนสามารถใส่     ข้อมูลดิบ (ตัวเลขลงในหน้ากระดาษทำการ  แล้วบอกวิธีคำนวณตัวเลขให้กับ  Microsoft Excel  เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ผู้เรียนต้องการ  ผู้เรียนจะบอกวิธีการคำนวณให้กับ  Microsoft Excel  โดยการเขียนเป็นสูตร  ตัวอย่างของสูตรอย่างง่าย ๆ  ก็เช่น  การบวกกันระหว่างตัวเลข  จำนวน    ประโยชน์ของโปรแกรมประเภท สเปรตชีทอย่างโปรแกรม  Microsoft Excel  ก็คือ  ผู้เรียนสามารถทำการเขียนสูตรลงในเซลล์เพื่อให้เอ็กเซลทำการคำนวณค่าจากเซลล์อื่น ๆ  ให้  ตัวอย่างเช่น  ผู้เรียนสามารถทำการใส่สูตรลงในเซลล์เพื่อให้ Excel  หาผลรวมของค่าต่างๆ  ที่ผู้เรียนต้องการได้   
ในการคำนวณตัวเลขสามารถทำได้ทุกๆ  ตำแหน่งในกระดาษทำการโดยใส่ค่านิพจน์ทางคณิตศาสตร์ลงไป  เมื่อกดปุ่ม  Enter  ก็จะให้ผลทันที    กระดาษทำการที่ใช้จะประกอบไปด้วยคอลัมน์  A,B,C,..   และเป็นแถว  1,2,3,..   ช่อง ๆ  ที่ถูกแบ่งเรียกว่า  เซลล์(Cell)  เซลล์แต่ละเซลล์มีชื่อเรียกตามตำแหน่งการตัดกันระหว่างคอลัมน์และแถว  เช่น เซลล์ที่อยู่ในตำแหน่ง  แถว  1  จะเรียกว่าเซลล์  A1   ดังนั้นการคำนวณสามารถใช้สูตรด้วยการอ้างชื่อเซลใดเซลหนึ่งเพื่อมาใช้ในการคำนวณได้  หากผู้เรียนมีการเปลี่ยนแปลงค่าข้อมูลที่อยู่ในเซลล์ที่ถูกอ้างอิงโดยสูตร  เซลล์ที่มีสูตรนั้นอยู่ก็จะเปลี่ยนแปลงค่าโดยอัตโนมัติ
¨      สูตร (Formula)
v    เกิดจากเครื่องหมาย  ,   ค่าตัวเลข  ตำแหน่งเซลล์ที่เก็บข้อมูล  ,   ฟังก์ชันของ       โปรแกรม  Microsoft Excel   หรือชื่อกลุ่มข้อมูล  นำมาผสมกันเพื่อให้เกิดค่าใหม่
v   โปรแกรม  Microsoft Excel  จะมองสูตรอยู่ในรูปของสมการ  เช่น 
สูตร
ผลลัพธ์
75=25+50


ดังนั้นสูตรในโปรแกรม  Microsoft  Excel  จึงขึ้นต้นด้วยเท่ากับ (=) เสมอ
¨     เครื่องหมายที่ใช้ในการคำนวณในโปรแกรม  Microsoft Excel

เครื่องหมาย
ตัวอย่างสูตร

เครื่องหมายในการคำนวณ

                    +    บวก
                    -     ลบ
                    /     หาร
                    *    คูณ
                  %    เปอร์เซ็นต์
                   ^     ยกกำลัง


                     =20+4*2
                    จะได้ผลลัพธ์  คือ  28

    เครื่องหมายในการเชื่อมข้อความ
           &   เชื่อมข้อความ

   =Microsoft &A1
ถ้า A1 เก็บค่า Excel จะได้ค่า Microsoft Excel

     เครื่องหมายในการเปรียบเทียบ

              =     เท่ากับ
           >     มากกว่า
          <      น้อยกว่า
          > =   มากกว่าหรือเท่ากับ
          < =   น้อยกว่าหรือเท่ากับ
          < >   ไม่เท่ากับ
    
       =A10 < 5000
จะให้ค่าเป็นจริง (Ture)  เมื่อค่าในเซลล์  A10  น้อยกว่า 5000  แต่ถ้ามากกว่าหรือเท่ากับ  5000จะให้ค่าเป็นเท็จ (False)





เครื่องหมาย
ตัวอย่างสูตร

       เครื่องหมายในการอ้างอิง

             : (โคลอน)  บอกช่วงข้อมูล




             เว้นวรรค   เอาเฉพาะข้อมูลซ้ำ
                               (Intersection)

            , (คอมม่า)  เอาข้อมูลทั้งหมดของทั้ง               
                                2  ช่วง  (Union)


A1:A20  หมายถึง จากเซลล์   A1 ถึง    A20
A:A        หมายถึง ทั้งคอลัมน์ A
1:1          หมายถึง ทั้งแถวที่ 1
1:3          หมายถึง ทั้งแถวที่ 1  และ  3
A:IV       หมายถึง ทั้งกระดาษทำการ
ถ้า Sales        หมายถึง  ช่วง B2:D2
     Q4            หมายถึง ช่วง C2:C5
     Q4 Sales   จะหมายถึง เซลล์ C2
ลำดับขั้นการทำงานของการคำนวณ
ลำดับ
เครื่องหมาย
คำอ่าน
1.
2
3
4
5

(  )
%
^
และ  /
และ  -

วงเล็บ
เปอร์เซ็นต์
ยกกำลัง
คูณ และ หาร
บวก และลบ

ใน Excel มีการลำดับความสำคัญของเครื่องหมาย โดยเครื่องหมายที่มีลำดับแรกจะถูกคำนวณก่อน  ถ้าต้องการบังคับให้โปรแกรม  Microsoft Excel  คำนวณตามลำดับเครื่องหมายคณิตศาสตร์ที่ผู้เรียนต้องการ   ก็ให้ใส่เครื่องหมายวงเล็บ (  )  ก่อน

ÿ  การป้อนสูตรโดยใช้เซลล์อ้างอิง
ผู้เรียนควรใช้เซลล์อ้างอิง (ตัวอย่างเช่น =A1+A2)  แทนการป้อนตัวเลขไปตรงๆ   (ตัวอย่างเช่น  =10+30  เพราะถ้าผู้เรียนใช้เซลล์อ้างอิง  เมื่อมีการเปลี่ยนตัวเลขในเซลล์อ้างอิง  โปรแกรม Microsoft Excel จะคำนวณผลลัพธ์ให้อย่างอัตโนมัติ  ในขณะที่เมื่อป้อนตัวเลขไปตรงๆ  ผู้เรียนจะต้องมานั่งแก้ไขสูตรทุกครั้ง    หรือผู้เรียนจะเรียกว่าการใช้เซลล์อ้างอิงเปรียบเสมือนกับการใช้ตัวแปรในการคำนวณนั่นเอง)
¨    ตัวอย่างการหาผลรวมโดยใช้สูตรโดยการอ้างอิงเซลล์


ตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณ













เมื่อใส่ตัวแปรเรียบร้อยแล้วให้ทำการกดปุ่ม  Enter  โปรแกรม Microsoft Excel   จะปรากฏคำตอบทันที  ดังรูป
คำตอบที่ได้จากการใช้สูตรโดยอ้างอิงเซลล์











  â  ตัวอย่างสูตรอื่นๆ 
        
โดยจะเห็นว่าตัวเลขในเซลล์เดียวกัน  แต่ใช้เซลล์อ้างอิงในการคำนวณและลำดับขั้นของเครื่องหมายในการคำนวณที่แตกต่างกันเท่านั้นก็จะทำให้การคำนวณได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน        ดังตัวอย่างต่อไปนี้ 

เซลล์นี้ประกอบไปด้วยสูตร
=A1+A2+A3*A4
=10+20+30*40
=1230
เซลล์นี้ประกอบไปด้วยสูตร
=A1*A3+A2+A4
=10*30+20+40
=360















เซลล์นี้ประกอบไปด้วยสูตร
=A3/A1+A2+A4
=30/10+20+40
=63






               




เซลล์นี้ประกอบไปด้วยสูตร
=A1+(A2+A3)*A4
=10+(20+30)*40
=2010












เซลล์นี้ประกอบไปด้วยสูตร
=A1*(A3-A2)+A4
=10*(30-20)+40
=140











นอกจากนี้การใช้เซลล์อ้างอิงหากเราเปลี่ยนตัวเลขในการคำนวณใหม่  แต่สูตรยังเหมือนเดิม  ก็จะทำให้คำตอบนี้เปลี่ยนแปลงไปได้โดยที่เราไม่ต้องทำการคำนวณใหม่ ดังรูป









เซลล์นี้ประกอบไปด้วยสูตร
=A1+A2+A3+A4

เซลล์นี้ประกอบไปด้วยสูตร
=A1+A2+A3+A4











           การป้อนสูตรโดยใช้ฟังก์ชัน
ฟังก์ชัน  จะหมายถึง  สูตรพิเศษที่ได้เขียนไว้ล่วงหน้า  เพื่อให้ผู้ใช้นำไปใช้ได้โดยสะดวกผู้เรียนสามารถใช้ฟังก์ชันได้โดยการใส่ฟังก์ชันเหล่านั้นไปในสูตรบนแผ่นงานของผู้เรียน  ลำดับตัวอักษรที่ใช้ในฟังก์ชัน  เรียกว่า  รูปแบบ  ฟังก์ชันทั้งหมดมีรูปแบบพื้นฐานเดียวกัน  ถ้าผู้เรียนไม่ได้ทำตามรูปแบบนี้โปรแกรม  Microsoft Excel  จะแสดงข้อความกำหนดข้อผิดพลาดในสูตร  ถ้าเป็นฟังก์ชันนั้น  เหมือนกับสูตรอื่นๆ
                ในโปรแกรม Microsoft Excel จะมีฟังก์ชันให้ผู้เรียนเลือกมากมาย  ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกได้จากเครื่องมือ             บนแถบเครื่องมือ


Œ  คลิกที่ปุ่มเครื่องมือ









               






 

จะปรากฏไดอะล็อคบล็อกซ์ของการเลือกฟังก์ชันดังรูป



ประเภทของฟังก์ชัน
-                   ที่ใช้ไปล่าสุด
-                   ทั้งหมด
-                   การเงิน
-                   วันและเวลา
-                   คณิตศาสตร์และตรีโกณมิติ
-                   ทางสถิติ
-                   การค้นหาและการอ้างอิง
-                   ฐานข้อมูล
-                   ข้อความ
-                   ตรรกศาสตร์
-                   ข้อมูล

 

 


ชื่อฟังก์ชันที่ถูกใช้งานบ่อย ๆ ใน Excel 


ชื่อฟังก์ชัน
รูปแบบ
ตัวอย่าง

ABS
ABS (number)
=Abs(A1)

ให้ค่าสมบูรณ์ของตัวเลข



ชื่อฟังก์ชัน
รูปแบบ
ตัวอย่าง
AVERAGE
AVERAGE(number1.number2,..)
=AVERAGE(A1:A5)
ให้ค่าเฉลี่ยของตัวแปรของมัน



ชื่อฟังก์ชัน
รูปแบบ
ตัวอย่าง
COUNT
COUNT(valuel,value2,)
=COUNT(A1:A5)
นับจำนวนตัวเลขที่มีอยู่ในรายการตัวแปร



ชื่อฟังก์ชัน
รูปแบบ
ตัวอย่าง
MAX
MAX(number1,number2,..)
=MAX(A1:A5)
ให้ค่าสูงสุดในรายการของตัวแปร



ชื่อฟังก์ชัน
รูปแบบ
ตัวอย่าง
MIN
MIN(number1,number2,..)
=MIN(A1:A5)
ให้ค่าต่ำสุดในรายการของตัวแปร



ชื่อฟังก์ชัน
รูปแบบ
ตัวอย่าง
MOD
MOD(number1,divisor2,..)
=MOD(A1:A5)
ให้ค่าเศษของการหาร



ชื่อฟังก์ชัน
รูปแบบ
ตัวอย่าง
ROUND
ROUND(number,num digits)
=ROUND(A1,2)
ปัดเศษจำนวนให้เป็นตำแหน่ง ทศนิยมที่ระบุ

ชื่อฟังก์ชัน
รูปแบบ

ตัวอย่าง
ROUNDDOWN
ROUNDDOWN(number,num_ digits)
=ROUNDDOWN(A1,2)

ปัดเศษจำนวนลง



 

ชื่อฟังก์ชัน
รูปแบบ

ตัวอย่าง
ROUNDUP
ROUNDUP
(number,num_digits)
=ROUNDUP(A1,2)

ปัดเศษจำนวนขึ้น





ชื่อฟังก์ชัน
รูปแบบ
ตัวอย่าง

SUM

SUM(number1,number2,..)
=SUM(A1:A5)

ให้ค่าผลรวมของตัวแปร


¨     ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับฟังก์ชัน
«   ฟังก์ชันจะเริ่มต้นด้วยเครื่องหมายเท่ากับเสมอ  (=)
«   ข้อมูลที่เอ็กเซลใช้ในการคำนวณในฟังก์ชันนั้นจะอยู่ในเครื่องหมายวงเล็บ ( )
=SUM(A1,A2,A3)
=AVERAGE(C1,C2,C3)
=MAX(B7,C7,D7,E7)
=COUNT(D12,D13,D14)
การกำหนดกลุ่มเซลล์ในการคำนวณให้ใช้เครื่องหมายจุลภาค (,)  ระหว่างเซลล์อ้างอิงในฟังก์ชัน  ตัวอย่างเช่น  =SUM(A1,A2,A3)  จะเท่ากับ  =A1+A2+A3                
=SUM(A1:A3)
=AVERAGE(C1:C3)
=MAX(B7:E7)
=COUNT(D12:D14)
การกำหนดกลุ่มเซลล์ในการคำนวณให้ใช้เครื่องหมายจุดคู่ (:)  ระหว่างเซลล์อ้างอิงต้นและปลายฟังก์ชัน  แล้วเอ็กเซลจะคำนวณโดยใช้เซลล์อ้างอิงทุกเซลล์ระหว่างเซลล์อ้างอิงทุกเซลล์อ้างอิงปลาย  ตัวอย่างเช่น  =SUM(A1:A3)   จะเท่ากับ  =A1+A2+A3

¨      การคำนวณทั่วไป


SUM
สูตรนี้ใช้หาผลรวมของตัวเลข
ตัวอย่างเซลล์นี้ประกอบไปด้วยฟังก์ชัน
=SUM(A1:A4)
=A1+A2+A3+A4
=10+20+30+40
=100
AVERAGE
สูตรนี้ใช้หาค่าเฉลี่ยของตัวเลข
ตัวอย่างเซลล์นี้ประกอบไปด้วยฟังก์ชัน
=AVERAGE(A1:A4)
=25

MAX
สูตรนี้ใช้หาตัวเลขที่มีค่ามากที่สุด
ตัวอย่างเซลล์นี้ประกอบไปด้วยฟังก์ชัน
=MAX(A1:A4)
=40



        


MIN
สูตรนี้ใช้หาค่าตัวเลขที่น้อยที่สุด
ตัวอย่างเซลล์นี้ประกอบไปด้วยฟังก์ชัน
=MIN(A1:A4)
=10
COUNT
สูตรนี้ใช้กับการนับจำนวนเซลล์
ตัวอย่างเซลล์นี้ประกอบไปด้วยฟังก์ชัน
=COUNT(A1:A4)
=4
 
  
 การใส่ฟังก์ชันในการคำนวณนั้นสะดวกและรวดเร็วกว่าการนั่งป้อนสูตรเอง  อีกทั้งฟังก์ชันก็ใช้ง่ายมาก   เพราะจะมีคำแนะนำพร้อมกับขั้นตอนที่อำนวยความสะดวกในการใส่ข้อมูลในสูตร

  คลิกที่ปุ่ม            บนแถบสูตร
      
Œ คลิกเซลล์ที่ต้องการใส่ฟังก์ชัน 














เมื่อสิ้นสุดคำสั่งโปรแกรม  Microsoft Excel  จะปรากฏไดอะล็อคบ็อกซ์ แสดงขึ้นมาดังรูป
Ž   คลิกที่กลุ่มฟังก์ชันที่ต้องการ 








Yหมายเหตุ :   ถ้าผู้เรียนไม่ทราบว่าฟังก์ชันที่ต้องการจัดอยู่ในกลุ่มใด
      ให้ทำการเลือกที่   ทั้งหมด   ซึ่งเป็นกลุ่มรวมฟังก์ชันทั้งหมด





  คลิกที่ฟังก์ชันที่ต้องการ 
ฟังก์ชันของกลุ่มจะแสดงขึ้นมา
 บริเวณนี้
  ใส่ฟังก์ชันในสมุดงานได้
โดยเลื่อนเมาส์คลิกที่ปุ่ม ตกลง 

พื้นที่บริเวณนี้จะอธิบายสรุปและวิธีใช้คร่าว ๆ ของฟังก์ชันที่เลือก
  


เมื่อสิ้นสุดคำสั่งโปรแกรม  Microsoft Excel  จะแสดงไดอะล็อคบ็อกซ์ขึ้นมาทันที  ถ้า     ไดอะล็อคบ็อกซ์นี้บังข้อมูลที่ผู้เรียนต้องการดูอยู่  ก็สามารถทำการเลื่อนไดอะล็อคบ็อกซ์นี้ไปวาง ยังตำแหน่งใหม่ได้
  เลื่อนไดอะล็อคบ็อกซ์ โดยคลิกเมาส์แถบชื่อเรื่อง  (แถบสีน้ำเงิน)
  คลิกเมาส์ค้างไว้  แล้วเลื่อน  ไดอะล็อคบ็อกซ์ไปวางยังตำแหน่งใหม่ที่ต้องการ  จากนั้นก็ปล่อยปุ่มเมาส์

v    เมื่อผู้เรียนใส่ฟังก์ชันเข้าไปแล้ว  ผู้เรียนจะต้องกำหนดตัวเลขหรือเซลล์อ้างอิงเพื่อใช้ในการคำนวณของฟังก์ชันด้วย


ช่องสำหรับใส่ตัวเลขที่จะใช้ในการคำนวณในฟังก์ชัน
ส่วนบริเวณนี้เป็นข้อความอธิบายตัวเลขที่ใส่ลงไป
 












ใส่ชื่อเซลล์ที่ต้องการคำนวณลงไป  โดยเลื่อน
เมาส์ไปคลิกที่ช่อง Number1  เช่น E5:E9
คลิกปุ่ม ตกลง
ช่องนี้จะแสดงค่าในเซลล์ที่เราทำการเลือก













ผลการคำนวณของฟังก์ชันจะแสดงที่เซลล์ทันที
สำหรับสูตรในฟังก์ชันจะแสดงขึ้นที่แถบสูตร












z การหาผลรวมอัตโนมัติ  (Auto Sum)



Œ  คลิกที่เซลล์ด้านล่างหรือด้านขวาของกลุ่มเซลล์ที่ต้องการหาผลรวม

  คลิกปุ่ม            บนแท็ป
หน้าแรก  ของ 
Ribbon 



r
โปรแกรม  Microsoft Excel จะแสดงเส้นประล้อมรอบกลุ่มเซลล์ที่จะหาผลรวม  โดย
โปรแกรมจะวิเคราะห์ว่าควรจะเป็นกลุ่มเซลล์ใดให้อย่างอัตโนมัติ
เส้นประล้อมรอบกลุ่มเซลล์ที่จะหาผลรวม 
ในกรณีที่กลุ่มเซลล์ที่โปรแกรมวิเคราะห์มาไม่ถูกต้อง   ผู้เรียนสามารถทำการเลือกกลุ่มเซลล์ใหม่ได้
Ž  กดปุ่ม  Enter  เพื่อหาผลรวมของข้อมูล

การใช้คุณสมบัติคำนวณอัตโนมัติ

ถ้าเป็นการคำนวณพื้นฐานทั่วไป  เราสามารถที่จะดูผลลัพธ์ก่อนที่จะใส่สูตรหรือใช้ฟังก์ชันก่อนได้เลย
Œ  เลือกกลุ่มเซลล์ที่ต้องการคำนวณ
  พื้นที่ แถบสถานะ (Status bar) จะแสดงค่า
ต่าง ๆ ที่เลือกเปิดการแสดงผลในส่วนของแถบสถานะไว้  เช่น  ค่าเฉลี่ย , จำนวนนับ , ผลรวม  เป็นต้น

สำหรับการดูค่าต่าง ๆ นั้นสามารถกำหนดได้จากแถบสถานะ  หรือ Status bar  ได้ทันที   โดยการคลิกเมาส์ทางขวาบนแถบสถานะ  ซึ่งจะมีกรอบคำสั่งให้เลือกหัวข้อ หรือ คำสั่งที่ต้องการให้ปรากฏบนแถบสถานะนั้น  โดยคำสั่งใดมีเครื่องหมาย  P  อยู่ด้านหน้าคำสั่ง  แสดงว่าเราได้เปิดใช้คำสั่งนี้ 


         การใส่สูตรแบบมีเงื่อนไขโดยใช้ฟังก์ชัน IF
                ในบางครั้งที่ผลลัพธ์ของสูตรไม่ได้ตรงไปตรงมา แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ดังนั้นจึงต้องนำฟังก์ชัน IF เข้ามาช่วย  ฟังก์ชัน  IF ใช้สำหรับการกำหนดเงื่อนไขว่า ถ้าเป็นไปตามเงื่อนไขจะให้ทำอย่างไร และถ้าไม่เป็นไปตามเงื่อนไขจะให้ทำอย่างไร
                ** ฟังก์ชัน IF มีโครงสร้างดังนี้
        * IF (เงื่อนไข,   ค่าที่จะเป็นเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง , ถ้าเงื่อนไขไม่เป็นจริงจะทำส่วนนี้)
        * เงื่อนไข  คือ  การตรวจสอบว่าสิ่งที่เรากำหนดให้เป็นจริง (TRUE) หรือไม่เป็นจริง (FALSE)

ตัวอย่าง การใช้ฟังก์ชัน IF
                อาจารย์ผู้หนึ่งมีคะแนนของนักเรียนจำนวนมาก จึงต้องการจะสร้างระบบที่ช่วยตัดเกรดนักเรียน โดยมีกฎเกณฑ์ว่า ตั้งแต่ 80 คะแนนขึ้นไป ได้เกรด A , ตั้งแต่ 70 คะแนน ถึง 79 คะแนน ได้เกรด B, ตั้งแต่ 60 คะแนน ถึง 69 คะแนน ได้เกรด C, ตั้งแต่ 59 คะแนน ถึง 50 คะแนน ได้เกรด D และถ้าได้คะแนนต่ำกว่า 50 คะแนน ถือว่าได้เกรด F

สำหรับการใช้ฟังก์ชั่นสำหรับการตัดเกรด  คือ
 

      
=IF(H4>79,"A",IF(H4>69,"B",IF(H4>59,"C",IF(H4>49,"D","F"))))  
                **  H4  คือ ช่องเซลล์ที่จะคิดเป็นเกรด  โดยปกติการคิดเกรดนี้จะมาจากช่องคะแนนรวมของนักเรียนแต่ละคน  **
โดยให้พิมพ์ฟังก์ชั่นทั้งหมดนี้ในเซลล์ที่ต้องการให้แสดงเกรด  จากนั้นกดปุ่ม  Enter  โปรแกรมก็จะแสดงเกรดที่กำหนดในช่องเซลล์ที่ต้องการ 

Note :  อย่าใช้ฟังก์ชันซ้อนกันเกิน 64 ชั้น
       ในตัวอย่าง คุณจะสังเกตเห็นว่า เราสามารถซ้อนการใช้งานฟังก์ชัน IF เข้าไปในฟังก์ชัน IF ได้ ซึ่งในโปรแกรม Excel 2007  เราสามารถซ้อนฟังก์ชั่นกันได้ไม่เกิน 64 ชั้น หรือ 64  ลำดับ 
                  IF(F4<=1000,10%*F4,  IF(F4<=5000,15%*F4,20%*F4))


                ทุกฟังก์ชันในโปรแกรม Excel ล้วนแต่มีข้อจำกัดนี้ ดังนั้นในการใช้ฟังก์ชันจึงต้องระวังไม่สร้างซ้อนกันเกินกว่าที่กำหนด และควรระมัดระวังในการใส่ฟังก์ชั่น และเครื่องหมายต่าง ๆ เพราะหากมีเครื่องหมาย หรือ มีความผิดพลาดโปรแกรมจะไม่สามารถคำนวณได้และฟ้อง  Error  ทันที
ชั้นที่สอง
ชั้นที่หนึ่ง
 

 ข้อผิดพลาดในการคำนวณสูตร
           ในการคำนวณหากมีข้อผิดพลาดโปรแกรมจะแสดงสัญลักษณ์ออกมาให้ผู้เรียนทราบโดยจะแสดง ณ ตำแหน่งเซลล์ที่ใช้ในการคำนวณ  ดังตัวอย่างของผิดพลาดที่พบบ่อย ๆ มีดังนี้ 
#####
 



ความหมาย  คอลัมน์นั้นแคบเกินที่จะแสดงผลลัพธ์ได้ทั้งหมด 
การแก้ไข      ปรับขนาดของความกว้างคอลัมน์ให้พอดีกับขนาดของข้อมูลใหม่ 

#DIV/0!
เซลล์นี้ประกอบด้วยสูตร
=A1*A2
ทำการขยายเซลล์ให้กว้างขึ้นก็จะสามารถมองเห็นตัวเลขทั้งหมด
ความหมาย     ตัวหารที่ใช้ในสูตรมีค่าเป็น  0  หรือ การอ้างอิงเซลล์เปล่าเป็นตัวหาร  
การแก้ไข         ตรวจสอบค่าตัวหารที่ใช้ในสูตรและแก้ไขให้ถูกต้อง 
เซลล์นี้ประกอบไปด้วยสูตร
=A1/A2









#NAME?
 



ความหมาย    ในสูตรมีชื่อฟังก์ชันหรือเซลล์อ้างอิงที่โปรแกรมไม่รู้จัก
การแก้ไข        ตรวจสอบว่าพิมพ์สูตรผิด หรือ กำหนดสูตรอ้างอิงต่าง ๆ ผิดหรือไม่ 
เซลล์นี้ประกอบไปด้วยสูตร
=SUMM(A1:A3)




 จากตัวอย่างนี้
 มีข้อผิดพลาดคือชื่อของฟังก์ชัน   SUM   พิมพ์ผิดเป็น  SUMM  หากเราแก้ไขก็จะ สามารถใช้สูตรนี้ได้ตามปกติ 
#VALUE!
 



ความหมาย    ในสูตรมีการใส่ข้อมูลในเซลล์อ้างอิงที่ไม่สามารถคำนวณได้  เช่น  ข้อความ  เป็นต้น
การแก้ไข        ตรวจสอบว่าพิมพ์สูตรผิด หรือ กำหนดสูตรอ้างอิงต่าง ๆ ผิดหรือไม่ 



คำนวณวนซ้ำ  (Circular  Reference)
เซลล์นี้ประกอบไปด้วยสูตร
=A1+A2+A3
 
 ข้อความนี้จะแสดงขึ้นมา  หากสูตรนั้นมีเซลล์อ้างอิงซึ่งเป็นเซลล์ของสูตรอยู่ด้วย  ทำให้ไม่สามารถคำนวณได้
เซลล์นี้ประกอบด้วยสูตร    =A1+A2+A3+A4+A6  ซึ่งเซลล์  A6  จะเป็นเซลล์ที่ใส่สูตร  โปรแกรมจะไม่สามารถคำนวณได้
  การคัดลอกสูตร
                สูตรที่ใช้กันหลายๆ  ที่ในสมุดงานเราสามารถทำการคัดลอกสูตรไปลงในเซลล์ที่เราต้องการคำตอบได้เลย โดยไม่ต้องทำการพิมพ์ขึ้นใหม่
¨     การคัดลอกสูตรโดยใช้เซลล์อ้างอิงที่แน่นอน

จะปรากฏค่าหรือผลลัพธ์ของการคำนวณของสูตรที่คัดลอกมา
Ì      
  คลิกเมาส์ค้างไว้  แล้วให้ลากเมาส์ไปคลุมเซลล์ที่จะคัดลอกสูตรไป จากนั้นก็ปล่อยเมาส์
สูตรในเซลล์จะแสดงที่แถบสูตร
  การดูสูตรในเซลล์ที่คัดลอกมา เพียง เลื่อนเมาส์ ไปคลิกที่เซลล์ที่คัดลอกสูตรมา 
  เลื่อนเมาส์คลิกเซลล์ที่มีสูตรที่ เราต้องการคัดลอก
Œ  ใส่สูตรที่ต้องการคัดลอก


  
คลิกขอบขวาล่างของเซลล์ (สังเกตว่ารูปเมาส์เปลี่ยนจาก         เปลี่ยนเป็น         )


































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น